วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การเลี้ยงลูกวัยรุ่น – พ่อแม่ที่วัยรุ่นอยากได้







| วัยรุ่นต้องการพ่อแม่ที่ให้อิสระและเปิดใจกว้างยอมรับ |

โดย… ดร. สมใจ รักษาศรี

(หมายเหตุ:  บทความนี้สรุปจากหนังสือ “เลี้ยงลูกวัยรุ่น”)

ความจำเป็นที่จะต้องให้อิสระและเปิดใจกว้างยอมรับ

          เพราะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายหลายอย่างเกิดขึ้นกับลูกวัยรุ่น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ความรู้สึก ส่งผลให้หลายสิ่งหลายอย่างในตัวลูกเปลี่ยนไป บางทีจากเด็กที่น่ารักกลายเป็นวัยรุ่นที่ไม่ค่อยน่ารัก บางทีจากเด็กเรียบร้อยกลายเป็นวัยรุ่นที่ไม่มีระเบียบเรียบร้อยเอาเสียเลย หรือบางทีจากเด็กที่พูดเก่งกลายเป็นวัยรุ่นที่เงียบขรึม เป็นต้น

          การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ เพื่อเตรียมคน ๆ นั้นสู่วัยผู้ใหญ่ การตอบสนองของพ่อแม่จะมีผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้  หากพ่อแม่ตอบสนองด้วยการ “ขัดขวาง” และไม่ยอมรับ ผลลัพธ์ก็คือการต่อสู้และการขัดขืน  ซึ่งอาจลงเอยด้วยความสัมพันธ์ที่แตกร้าว การตอบสนองในทางตรงกันข้าม คือ เปิดใจกว้างและยอมรับกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างมีศิลปะจะให้ผลดีกว่า พ่อแม่จึงต้องเรียนรู้ว่าจะเปิดใจกว้างยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนี้อย่างไร

ประการแรกทำความเข้าใจพัฒนาการของลูก

          เมื่อพ่อแม่เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับลูกวัยรุ่นนั้นเป็นผลมาจากพัฒนาการทางร่างกาย ความคิด จิตใจ และอารมณ์ของเขา (เช่น อารมณ์แปรปรวนขึ้น ๆ ลง ๆ การเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยพูดค่อยจา ท่าทียโส ดื้อรั้น ลองดี และเถียงคำไม่ตกฟาก) การยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงของลูกก็จะง่ายขึ้น ขณะเดียวกันสิ่งที่พ่อแม่ต้องทำในตอนนี้คือ ควบคุมอารมณ์ ให้อภัย ให้โอกาส และคอยช่วยเหลือลูกวัยรุ่นในการปรับตัวเพื่อให้เขาสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตินี้ไปให้ได้   โดยคิดถึงวันข้างหน้า วันที่ลูกได้ก้าวพ้นช่วงแห่งความอลหม่านนี้แล้วและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคง



ประการที่สองยืดหยุ่นในเรื่องที่สามารถยืดหยุ่นได้

การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับลูกวัยรุ่นทำให้หลาย ๆ เรื่องในชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น

          - การแต่งกาย  จะแต่งกายตามกระแสนิยมของวัยรุ่นในขณะนั้น นอกจากนั้นยังชื่นชอบสิ่งของหรือเครื่องประดับที่วัยรุ่นทั่วไปกำลังนิยมกัน
เพลงและดนตรี  จะฟังเพลงที่วัยรุ่นกำลังนิยมกัน  มีนักร้องที่เป็นขวัญใจ และอาจจะเลียนแบบการแต่งตัวของนักร้องคนโปรด
          - การคบเพื่อน  ใช้เวลากับเพื่อนมากขึ้น ให้ความสำคัญกับเพื่อน บางครั้งรวมกลุ่มกันไปเที่ยว
การคบเพื่อนต่างเพศ  เริ่มมีความชอบพอกับเพศตรงข้าม ซึ่งอาจจะทำให้มีการแอบนัดพบกัน คุยกันบ่อยและนาน
          - การเป็นตัวของตัวเองและการเชื่อมั่นในตัวเอง ทำให้ไม่ค่อยอยากเพิ่งพ่อแม่ อยากตัดสินใจด้วยตัวเอง และมักไม่ต้องการคำแนะนำ 
          - คึกคะนอง ชอบลอง ชอบความเสี่ยงและความท้าทาย 
          - ชื่นชอบความทันสมัย ทำให้เด็กวัยรุ่นอยากมีอุปกรณ์สื่อสารที่ทันสมัย ฯลฯ
  

          นี่เป็นเพียงตัวอย่างของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในชีวิตของวัยรุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเป็นเมื่อเขายังอยู่ในวัยเด็ก พ่อแม่จึงจำเป็นต้องยืดหยุ่นบ้างตามสมควร หลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าสิ่งใดควรยืดหยุ่นและยืดหยุ่นได้แค่ไหน คือ

- เรื่องที่ยืดหยุ่นนั้นจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อลูก
- เรื่องที่ยืดหยุ่นนั้นต้องไม่กระทบต่อการเรียน
- เรื่องที่ยืดหยุ่นนั้นต้องไม่ผิดกฎหมายและกฎระเบียบของสังคม
- เรื่องที่ยืดหยุ่นนั้นต้องไม่ผิดศีลธรรมหรือหลักคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์
- ต้องแยกให้ชัดเจนระหว่างเรื่องที่ “ต่อรองไม่ได้” กับ เรื่องที่ “ต่อรองได้”

          ส่วนเรื่องที่สามารถยืดหยุ่นได้นั้นจะยืดหยุ่นได้มากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัวและข้อตกลงร่วมกันระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยรุ่น  ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว บางทีสิ่งที่ครอบครัวหนึ่งยืดหยุ่น แต่อีกครอบครัวหนึ่งอาจจะไม่ยืดหยุ่นขนาดนั้นก็ได้



ประการที่สามให้อิสระในขอบเขตที่เหมาะสม

           การให้อิสระไม่ใช่การตามใจ มันเป็นคนละเรื่องกัน แม้ว่าวัยรุ่นต้องการอิสระ แต่ก็ต้องมีขอบเขต ไม่ใช่ตามใจไปเสียทุกอย่าง เพราะการไม่ห้ามปรามลูกเสียเลยก็เท่ากับส่งเสริมให้เขาเสียคน ไม่มีความสามารถที่จะเผชิญกับสภาพที่เป็นจริงในภายหลังได้ เด็กประเภทนี้พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก็คาดหวังให้โลกประเคนทุกสิ่งให้

          วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการความเป็นอิสระ วัยนี้จึงไม่ค่อยชอบกฎเกณฑ์และการบังคับ ไม่ชอบการตรวจสอบและการจ้ำจี้จ้ำไชจากผู้ใหญ่ ไม่ชอบให้ผู้ใหญ่เข้ามาก้าวก่ายในชีวิตของตน  เขาอยากเป็นตัวของตัวเอง คิดเอง ตัดสินใจเอง เพราะคิดว่าตัวเองโตแล้ว แต่เราที่เป็นพ่อแม่ย่อมรู้ดีว่าถึงแม้เขาจะโตขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะสามารถรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้อย่างดีโดยปราศจากการชี้นำและการช่วยเหลือของพ่อแม่

          ประเด็นก็คือ พ่อแม่คิดอย่าง ลูกวัยรุ่นก็คิดอีกอย่าง จึงเป็นเหตุให้ไม่เข้าใจกันและเกิดปัญหาความสัมพันธ์ขึ้น ดังนั้นในฐานะพ่อแม่ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะให้อิสระกับลูกเพื่อฝึกฝนและเตรียมเขาสำหรับการเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่การให้อิสระโดยไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเลยย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดี จึงต้องมีศิลปะในการให้อิสระในขอบเขตที่เหมาะสม ซึ่งทำได้โดย

          ประการแรก กำหนดขอบเขตของแต่ละเรื่องร่วมกันกับลูกวัยรุ่น และตราบใดที่ลูกยังอยู่ในขอบเขตนั้นเขาก็มีอิสระอย่างเต็มที่ พ่อแม่จะไม่เข้าไปก้าวก่าย เว้นแต่ลูกต้องการคำแนะนำหรือการช่วยเหลือ ยกตัวอย่างเช่น ขอบเขตของการเรียนคือ ตั้งใจเรียนเต็มที่ รับผิดชอบเรื่องรายงานและการบ้านอย่างเต็มที่ ตามศักยภาพของลูกเกรดเฉลี่ยต้องไม่ต่ำกว่า 3.0 การเรียนพิเศษนั้นขึ้นอยู่กับความจำเป็น  ลูกเป็นคนตัดสินใจ ลูกรายงานให้พ่อแม่ทราบเป็นระยะ ๆ ว่าการเรียนและผลการเรียนเป็นอย่างไร มีอะไรที่พ่อแม่ต้องช่วยเหลือหรือไม่ เป็นต้น ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่กำหนดไว้ พ่อแม่ก็ไม่ต้องถามว่าทำการบ้านทำรายงานหรือยัง ไม่ต้องคอยบ่นในเรื่องที่ลูกเอาแต่ฟังเพลงหรือเล่นเน็ต แต่หากไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ พ่อแม่ก็จำเป็นต้องเข้ามาจัดการ เพราะไม่เช่นนั้นอิสระที่ลูกต้องการจะกลายเป็นผลเสียต่อลูก

          พ่อแม่อาจจะถามว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องกำหนดขอบเขตในเรื่องความมีอิสระ คำตอบก็คือทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ความรับผิดชอบ และลักษณะนิสัย เป็นต้น

          ประการที่สอง ใช้แนวทางประชาธิปไตยในบ้าน คือ ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น เสนอความคิด และสามารถเห็นขัดแย้งได้ด้วย แต่ต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลและสุภาพ และเคารพความเห็นของผู้อื่น การให้ลูกมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเปิดโอกาสให้ลูกได้รับรู้ว่าอะไรคือเหตุผลของข้อห้ามหรือข้อจำกัดที่มีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ห้ามไม่ให้ไปบ้านของเพื่อนผู้หญิงในขณะที่พ่อแม่ของเขาไม่อยู่ เพราะกลัวว่าฝ่ายหญิงจะเสียหาย หรืออาจจะเกิดการทดลองทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้ ถ้าไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและอภิปราย ลูกก็จะไม่มีทางรู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่พ่อแม่ไม่อนุญาต

ผลดีอีกประการหนึ่งของการใช้วิธีทางประชาธิปไตยในบ้านคือ เป็นการฝึกให้ลูกยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ใช่เอาแต่ความต้องการของตนเองฝ่ายเดียว และหากจะมีการโต้แย้งก็ต้องมีเหตุผลประกอบ ไม่ใช่เอาอารมณ์ความรู้สึกเป็นใหญ่

          ประการที่สาม บอกให้ลูกรู้อย่างชัดเจนว่าพ่อแม่คาดหวังความประพฤติอย่างไรจากลูก การต้องการให้ลูกดีอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ลูกต้องรู้ด้วยว่าพ่อแม่คาดหวังอะไรจากเขา และพ่อแม่ต้องการให้เขาทำอะไรและทำอย่างไร บางครั้งแม่อาจจะบอกลูกว่าต้องจัดห้องนอนส่วนตัวของตัวเองให้เรียบร้อย แต่ไม่ได้อธิบายว่าคำว่า “เรียบร้อย” ของแม่หมายความว่าอย่างไร เขาจึงทำไปตามที่เขาคิดว่าถูกแล้ว  แต่กลับถูกตำหนิว่าไม่เรียบร้อย เพราะคำว่าเรียบร้อยในความหมายของแม่กับของลูกเป็นคนละความหมายกัน ดังนั้นพ่อแม่จึงจำเป็นต้องสื่อสารอย่าง “ชัดเจน” ว่าต้องการให้ลูกทำอะไรและทำอย่างไร

          การสื่อสารให้ลูกรู้อย่างชัดเจนว่าพ่อแม่คาดหวังอย่างไรไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกวัยรุ่นรู้ว่าจะปฏิบัติในเรื่องนั้น ๆ อย่างไร แต่มันยังเป็นการสื่อสารให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่เชื่อถือในตัวลูกและปฏิบัติกับลูกแบบผู้ใหญ่คนหนึ่ง คือ เชื่อมั่นว่าลูกจะทำอย่างที่ได้พูดจาตกลงกันไว้โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องไปคอยควบคุมหรือบังคับเหมือนเป็นเด็ก

          นอกจากนั้นแล้ว การทำแบบนี้ของพ่อแม่ยังเป็นการฝึกฝนความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสิ่งที่ลูกได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

          ประการที่สี่ พ่อแม่จะไม่ควบคุมหรือบังคับแต่จะคอยชี้แนะ เพราะโดยธรรมชาติวัยรุ่นไม่ชอบการบังคับ แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องมีคนที่คอยชี้แนะและกระตุ้นเตือน เพื่อเขาจะไม่พลาดในหน้าที่และความรับผิดชอบ อีกทั้งการชี้แนะยังเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเขาให้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่พ่อแม่คาดหวังได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็ยิ่งทำให้ความไว้วางใจที่พ่อแม่มีต่อเขาเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะยิ่งทำให้ขอบเขตของอิสระยิ่งกว้างขึ้น เพราะเขาได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนที่ไว้วางใจได้และมีความรับผิดชอบ



ประการที่สี่ให้สิทธิในการตัดสินใจในขอบเขตที่เหมาะสม

          วัยรุ่นมักคิดว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถตัดสินใจเองได้แล้ว จึงอยากตัดสินใจและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง  แต่พ่อแม่ก็มักมองว่าลูกยังเป็นเด็ก จึงอดเป็นห่วงลูกไม่ได้ จนบางครั้งกลายเป็นการปกป้องมากเกินไป คือ คิดให้ ตัดสินใจให้ และทำทุกอย่างแทนลูก จนลูกไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไร ผมเคยได้ยินคุณแม่บางคนพูดกับลูกวัยรุ่นว่าหน้าที่ของลูกคือเรียนก็พอ ที่เหลือแม่จะเป็นคนจัดการ ดังนั้นทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูกแม่จะเป็นคนคิดให้ทำให้ทั้งหมด แม้กระทั่งเสื้อผ้า อาหารการกิน และชีวิตประจำวัน

          จริงอยู่แม้ว่าการทำเช่นนั้นก็เกิดจากความรักและความห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อลูก แต่มันไม่เป็นผลดีเลย  การไม่ยอมให้ลูกวัยรุ่นตัดสินใจไม่เพียงทำให้เขารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ยอมรับในความเป็นผู้ใหญ่ของเขาเท่านั้น แต่มันยังเป็นผลเสียต่อการพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของลูกด้วย เพราะจะทำให้เขาไม่รู้จักคิด ตัดสินใจไม่เป็น ไม่รู้จักวิธีแก้ปัญหา และขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง

          ดังนั้นพ่อแม่ต้องส่งเสริมให้ลูกวัยรุ่นรู้จักคิดและตัดสินใจอย่างสร้างสรรค์ในขอบเขตที่เหมาะสม และลงมือทำสิ่งนั้น ๆ ด้วยตัวเอง การทำเช่นนี้เป็นการฝึกฝนให้ลูกกล้าคิด กล้าแสดงออก และกล้าที่จะลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เขาจะกลายเป็นคนที่คิดเป็น เชื่อมั่นในตัวเอง รู้จักแก้ปัญหา และมีทักษะในการทำสิ่งต่าง ๆ แทนที่จะเป็นผู้ใหญ่ประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

          ผมเน้นคำว่า “ขอบเขตที่เหมาะสม” หมายความว่าไม่ใช่ให้ลูกตัดสินใจเองทุกเรื่อง เพราะเขายังไม่พร้อมขนาดนั้น พ่อแม่จึงต้องกำหนดขอบเขตที่เหมาะสมกับลูกขึ้นมา เพราะวัยรุ่นแต่ละคนมีวุฒิภาวะไม่เท่ากัน

ขอบเขตในการตัดสินใจแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้

- ขอบเขตที่ลูกสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง จะปรึกษาพ่อแม่หรือไม่ก็ได้ เช่น การใช้จ่ายเงินที่ได้รับในแต่ละสัปดาห์ เป็นต้น
- ขอบเขตที่ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ก่อนตัดสินใจ หมายความว่าลูกต้องพูดคุยกับพ่อแม่ก่อน เช่น การไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน การไปค้างบ้านเพื่อน เป็นต้น
- ขอบเขตที่ลูกยังไม่มีสิทธิที่จะตัดสินใจในขณะนี้ เช่น การเลือกโรงเรียน การเลือกสาขาที่จะเรียน เป็นต้น

          วัยรุ่นที่รู้ว่าเขาสามารถตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเอง อะไรที่ต้องได้รับอนุญาต และอะไรที่ยังไม่อยู่ในสิทธิการตัดสินใจของเขา จะใช้ชีวิตวัยรุ่นได้อย่างมีความสุข ในขณะที่กำลังพัฒนาตัวเองสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคง

          สิ่งที่สำคัญคือพ่อแม่ต้องกล้าที่จะเชื่อมั่นในตัวลูก สอนเขาให้รู้จักคิด รู้จักตัดสินใจ และกล้าลงมือทำ พร้อมทั้งคอยให้คำแนะนำปรึกษา แล้วท่านจะได้เห็นว่าลูกจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้น รู้จักคิดมากขึ้น และตัดสินใจอย่างรอบคอบมากขึ้น พร้อม ๆ กับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของเขา

          ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นประสบการณ์ตรงของผมและภรรยา เราทำแบบนั้นกับลูกสาวของเรา ผลก็คือ เราได้ลูกสาวที่คิดเป็น ตัดสินใจเป็น กล้าลงมือปฏิบัติ และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ที่รากฐานที่สำคัญของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่


นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนปรารถนาไม่ใช่หรือ!

ที่มา : http://www.thisisfamily.org//

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น